วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พระพุทธศาสนากับการศึกษา เพื่อความเป็นคนที่สมบูรณ์


พระพุทธศาสนากับการศึกษา เพื่อความเป็นคนที่สมบูรณ์


 
  1. พระพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกับการศึกษาของไทยมาแต่โบราณ เพราะวัดเป็นแหล่งเรียนรู้วิชาการต่าง ๆ ของกุลบุตรเกือบจะทุกแขนง และพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็เป็นผู้รู้วิชาการต่างๆ หลายแขนง มิได้จำกัดอยู่เฉพาะความรู้ทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะฉะนั้น กุลบุตรที่ต้องการศึกษาเรียนรู้ วิชาการต่างๆ จึงต้องไปอยู่วัดเพื่อศึกษาเล่าเรียนวิชากับพระสงฆ์ บิดามารดาที่ประสงค์จะให้บุตรหลาน ได้ศึกษาเล่าเรียนจึงนิยมพาบุตรหลานไปถวายตัวหรือพาไปฝากให้เป็นศิษย์วัด
  2. นับแต่โบราณมา วิชาความรู้ที่ศึกษาเล่าเรียนได้จากวัดนั้น อาจแบ่งได้เป็น 3 ระดับกว้าง ๆ คือ วิชา ความรู้เบื้องต้น ก็คือวิชาภาษา หรืออักษรศาสตร์ ซึ่งมีภาษาไทยและภาษาบาลีเป็นหลัก เด็กไทยที่ไม่เคย   อยู่วัด หรือไม่เคยเป็นศิษย์วัด ส่วนใหญ่จะไม่รู้หนังสือ หรือว่าเขียนไม่ได้อ่านไม่ออก เพราะไม่มีโอกาส ได้เรียน นักปราชญ์ราชบัณฑิตของไทยแต่โบราณมาล้วนเป็นศิษย์วัด หรือเป็นผู้ที่เคยนบวชเรียนมาจาก วัดทั้งนั้น

วิชาความรู้ขั้นกลาง ก็คือวิชาชีพต่าง ๆ เช่น การช่าง จิตรกรรม ปฏิมากรรม เวชกรรม เป็นต้น ผู้ที่จะศึกษาเล่าเรียนวิชาการดังกล่าวเหล่านี้ได้ จะต้องไม่เป็นเพียงเด็กวัดหรือศิษย์วัดธรรมดาเท่านั้น แต่ว่าจะต้องถวายตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนเป็นพิเศษ พระอาจารย์จึงจะประสิทธิ์ประสาทวิชาเหล่านี้ให้ หรือถ้าจะเล่าเรียนละเอียดลึกซึ้งก็จะต้องอุทิศตนบวชเป็นพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา แล้ว เรียนกันให้เต็มเวลาทีเดียว จึงจะสำเร็จวิชาเหล่านี้ได้

วิชาความรู้ขั้นสูง ก็คือ เวทมนต์คาถา ไสยศาสตร์ พระธรรมคัมภีร์ และธรรมปฏิบัติ คือสมถะวิปัสสนา ซึ่งถือว่า เป็นวิชาความรู้ที่ละเอียดอ่อน รู้ได้ยากและสอนได้ยาก ผู้เรียนจะต้องอุทิศ ตนเล่าเรียนจริงๆ จึงจะสำเร็จ ผู้สอนหรือครูบาอาจารย์ก็ไม่ใช่จะสอนให้ง่ายๆ จะต้องสังเกตอุปนิสัย ใจคอของผู้เรียนด้วยว่าเหมาะสมที่จะเรียนไหม สมควรที่จะบอกจะสอนให้หรือไม่ ต่อเมื่อครูบาอาจารย์ เห็นว่าเหมาะสมและสมควร จึงจะบอกจะสอนให้ ฉะนั้นผู้ที่จะมีโอกาส ได้เล่าเรียนวิชาขั้นสูงดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่บวชเป็นพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา เพราะต้องใช้เวลาในการศึกษา เล่าเรียนนานและจริงจัง

  1. เนื่องจาการศึกษาและวิชาความรู้อยู่ในวัด ไทยจึงมีประเพณีที่เรียว่า “บวชเรียน” มาแต่โบราณ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ที่ต้องการจะศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจังนั้น จะต้องบวชเป็นพระภิกษุสามเณร จึงจะได้มีโอกาสเล่าเรียนอย่างจริงจัง ทั้งความรู้ขั้นพื้นฐานทั่วไป ตลอดถึงความรู้ขั้นสูง ดังที่กล่าวมาแล้ว

การบวชเรียนตามความหมายเดิมนั้น คือต้องบวชและเรียนกันจริงๆ ฉะนั้น ผู้บวชเรียน จึงบวชเป็นเวลานานปีจึงจะเล่าเรียนได้อย่างเต็มที่ และบางท่านก็อาจจะบวชเพื่อเล่าเรียนจนตลอดชีวิต แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป การบวชเรียนก็ค่อยลดความเข้มข้นลง กลายเป็นประเพณีที่ว่า ชายไทยควรบวชในพระพุทธศาสนาอย่างน้อยหนึ่งพรรษาสามเดือน เพื่อเล่าเรียนพระพุทธศาสนา ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ ประเพณีการบวชเรียน จึงกลายเป็นประเพณีการบวชชั่วระยะสั้นๆ  ที่ยังคงถือปฏิบัติกันสืบมาจนทุกวันนี้

4.      การศึกษาของไทยได้เกิดขึ้นและพัฒนามาในวัดตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อมีการเริ่มจัดการศึกษาสำหรับราษฎรขึ้นครั้งแรกในรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โรงเรียน สำหรับราษฎรแห่งแรกก็ตั้งขึ้นในวัด คือโรงเรียนวัดมหรรณพาราม แล้วก็ขยายไปตามวัดต่างๆ โดยมี ศาลาเป็นโรงเรียน มีพระเป็นครูสอน แต่โรงเรียนก็ยังมีอยู่เฉพาะวัดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังไม่แพร่หลายไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ

ครั้นพ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำริขยายการศึกษาขั้น พื้นฐานให้แพร่หลายไปสู่ราษฎรในหัวเมืองทั่วราชอาณาจักร ก็ทรงอาศัยวัดและพระสงฆ์เป็นฐานใน การขยายการศึกษาดังกล่าว โดยทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ให้ทรงบัญชาการในการจัดการศึกษาหัวเมือง ครั้งนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระองค์นั้นก็ทรงเลือกพระเถรานุเถระทั้งฝ่ายคณะมหานิกายและ คณะธรรมยุต เป็นผู้อำนวยการศึกษาหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศึกษาในหัวเมืองต่างๆ  ก็ได้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นตามวัดต่างๆ ในหัวเมืองนั้นๆ โดยมีพระสงฆ์ในวัดนั้นๆ เป็นครูสอน ทางราชการ เพียงแต่ช่วยเรื่องแบบเรียนและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเท่านั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระองค์นั้น ทรงใช้เวลาในการจัดการศึกษาหัวเมืองอยู่เพียง 5 ปี ก็สามารถขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานไปสู่ราษฎร อย่างทั่วถึงทั่วราชอาณาจักร โดยที่รัฐบาลแทบจะไม่ต้องจ่ายงบประมาณใดๆ เลย เพราะวัดและ ประชาชนได้ช่วยกันจัดตั้งโรงเรียนขึ้นตามวัดต่างๆ โดยอาศัยสถานที่และบุคลากรที่มีอยู่แล้วตามวัด นั้นๆ เป็นทุนในการดำเนินการ

หลังจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ได้ทรงวางรากฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานที่กลายมาเป็น การประถมศึกษาของไทยในปัจจุบันเป็นที่เรียบร้อย โดยการจัดการของวัดและพระสงฆ์ล้วนๆ แล้ว จึงทรงมอบการจัดการศึกษาในหัวเมืองให้กระทรวงธรรมการรับไปดำเนินการต่อไป

5.      เนื่องจากการศึกษาของไทยอยู่ในความอุปถัมภ์และจัดการของวัดและพระสงฆ์มาแต่โบราณ จึงปรากฏ ว่า โรงเรียนในยุคแรกๆ ของไทยล้วนตั้งอยู่ในวัดทั้งนั้น ทั้งโรงเรียนสำหรับเด็กชายและโรงเรียน สำหรับเด็กหญิง มาถึงรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โรงเรียนจึงค่อยๆ ขยับขยายออกไปตั้งนอกวัด เมื่อโรงเรียนออกไปตั้งนอกวัด บทบาทของพระสงฆ์ในการเป็นครูสอนในโรงเรียนก็ค่อยๆ ลดน้อยลง จนถึงหมดภาระหน้าที่ในด้านนี้ไปในที่สุด ถึงกระนั้น โรงเรียนส่วนใหญ่ก็ยังคงตั้งอยู่ในวัดสืบมาจน ทุกวันนี้ พระสงฆ์แม้จะไม่มีบทบาทในฐานะเป็นครูสอนในโรงเรียน แต่พระสงฆ์ก็ยังคงมีบทบาทใน การอุปถัมภ์บำรุงการศึกษาของชาติในด้านอื่น อยู่ไม่น้อยจวบจนปัจจุบัน

6.      เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ในฐานะที่ทรงเป็นเด็กไทยคนหนึ่ง ก็ทรงผ่านระบบการศึกษาแบบ เดิม คือการศึกษาในวัดมาแต่เบื้องต้น คือทรงจบการศึกษาขั้นประถมศึกษา จากโรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม กาญจนบุรี แล้วก็ทรงเข้าสู่ระบบการศึกษาของวัดโดยตรง คือการบวชเรียน โดยทรง บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเทวสังฆราม แล้วมาอยู่ศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดเสนหา นครปฐม แล้วย้าย เข้ามาอยู่ศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ จนสำเร็จเปรียญธรรม 9 ประโยค อันเป็นการศึกษาขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย จึงกล่าวได้ว่า  เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรเป็นผลิต ผลของระบบการศึกษาแบบวัดของไทย

7.      เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร เมื่อทรงมีตำแหน่งหน้าที่ทางการคณะสงฆ์มากขึ้นและสูงขึ้น ก็ทรง เข้าสู่ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์และของบ้านเมืองอีกวาระหนึ่ง ในฐานะผู้บริหารรับผิดชอบการ ศึกษาของคณะสงฆ์และของชาติตามตำแหน่งหน้าที่ที่ทรงได้รับแต่งตั้งรับผิดชอบ เช่น

ในฐานะเจ้าอาวาส เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ทรงอุปถัมภ์บำรุงโรงเรียนวัดบวรนิเวศ ทั้งในด้าน อาคารสถานที่และทุนการศึกษา โดยทรงจัดสร้างอาคารเรียนให้แก่โรงเรียนวัดบวรนิเวศ ทรงจัดทุนการ ศึกษาให้เด็กนักเรียนที่ขาดแคลน

นอกจากนี้ ยังทรงสร้างโรงเรียนสำหรับเด็กที่ขาดแคลนแต่เรียนดีขึ้นโดยเฉพาะอีกด้วย คือโรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เป็นโรงเรียนประเภท อยู่ประจำ และยังทรงอุปถัมภ์และประทานทุนในการสร้างโรงเรียนตามวัดต่างๆ อีกหลายแห่ง

ในด้านการศึกษาของพระภิกษุสามเณร เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ทรงส่งเสริมในทุกด้านและทุก ระดับ ทรงสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมและจัดหาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการศึกษาแก่พระ ภิกษุสามเณร ทรงจัดสร้างห้องสมุดขึ้นภายในวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่ออำนวยความสะดวกในการ ศึกษาค้นคว้าสำหรับพระภิกษุสามเณร และเป็นการส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรรู้จักแสวงหาความรู้ ให้ทันโลกทันสมัย ดังที่พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าในส่วนพระองค์เอง

ทรงจัดหาทุนการศึกษาประทานแก่พระภิกษุสามเณรที่ประสงค์จะศึกษาในระดับอุดมศึกษา ทั้ง ศึกษาในสถาบันการศึกษาภายในประเทศและออกไปศึกษาในสถาบันการศึกษาต่างประเทศ ตั้งแต่ ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก

ในฐานะทรงเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย อันเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ก็ทรงสนับสนุนให้มีการพัฒนาการศึกษาของสถาบันให้ถึงระดับปริญญาโทและปริญญาเอก และทรง สนับสนุนให้มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเปิดหลักสูตรระดับมหาบัณฑิตหรือปริญญาโท มา ตั้งแต่ พ.ศ. 2503 (เปิดการเรียนการสอนเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2503) แต่โครงการนี้ ดำเนินการไปได้ไม่ตลอดก็หยุดไป อีก 27​ ปีต่อมา (พ.ศ. 2530) จึงได้เปิดดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง ดังที่ได้ดำเนินการสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้

และในปี พ.ศ. 2511 ทรงสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เปิดหลักสูตรพระ พุทธศาสนานานาชาติขึ้น เพื่อให้พระภิกษุสามเณรต่างชาติสามารถมาศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศ ไทยได้ หลักสูตรนี้ได้เปิดรับนักศึกษาและเปิดการเรียนการสอนได้เพียงรุ่นเดียวก็หยุดไป

8.      จากพระดำริทางการศึกษาที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ได้ทรงริเริ่มและทรงพัฒนามาเป็นลำดับ นั้น ได้เป็นรากฐานให้มีการพัฒนาทางวิชาการขึ้นในมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย จนเจริญเติบโต มาเป็นมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต สาขาต่างๆ อย่างที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

9.      เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงมีพระอัธยาศัยใฝ่การศึกษาและรักการศึกษา แต่แนวพระดำริทาง การศึกษาของพระองค์ก็ตั้งอยู่บนฐานของการศึกษาแนวพุทธ ซึ่งทรงเห็นว่าเป็นการศึกษาที่ทำให้ มนุษย์เป็นคนที่สมบูรณ์

10.  ในด้านการศึกษานั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงมีทรรศนะว่า การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ทำให้ ชีวิตมีคุณค่าขึ้น จนถึงเห็นกันมาแต่โบราณแล้วว่า ผู้ที่ยังไม่เกิดมาหรือเกิดมาแล้วตายไป ยังดีกว่าผู้ที่ยังมี ชีวิตอยู่แต่ไม่รับการศึกษา

การศึกษานั้นเปรียบเสมือนต้นไม้ ทุกคนกำลังขึ้นต้นไม้คือศึกษาพฤกษ์นี้อยู่ จึงได้รับความรู้ซึ่ง แปลกหูแปลกตาขึ้นทุกวัน การรับความรู้ตามหลักสูตร เป็นสิ่งที่รัฐเลือกสรรแล้วตามควรแก่สมัย ส่วน การรับความรู้นอกหลักสูตรหรือนอกโรงเรียน ซึ่งมีอยู่เป็นอันมาก เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะ ความรู้บางอย่าง เมื่อรับไปแล้วทำให้เกิดความหลงเข้าใจผิด คิดเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีที่ เป็นชีวิตเนื้อหาของชาติ ความรู้บางอย่างทำให้ใจแตก ไม่ประพฤติอยู่ในทางที่ดี ความรู้บางอย่างก็มี ประโยชน์

11.  การศึกษาทางบ้านเมืองนั้น ได้วางแบบแผนไว้เป็น 4 อย่าง คือ จริยศึกษา พลศึกษา พุทธิศึกษา หัตถศึกษา ซึ่งสรุปลงได้เป็น 2 ส่วน คือ

1) ศึกษาเพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพการงานและในการสังคม เป็นต้น ได้เป็นอย่างดี
            2) ศึกษาเพื่อให้มีความเป็นคนที่สมบูรณ์

ซึ่งในส่วนที่ ๒ฃ2 นี้ มีความหมายว่า คนที่ถือกำเนิดมาเป็นคนนั้น ยังไม่จัดว่าเป็นคนโดยสมบูรณ์ เพราะเหตุเพียงที่เกิดมามีรูปร่างเป็นคนเท่านั้น ต่อเมื่อมีการปฏิบัติประกอบด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สมกับความเป็นคน จึงจะเรียกว่าเป็นคนโดยธรรม เมื่อมีธรรมของคนบริบูรณ์ จึงจะชื่อว่าเป็นคนโดย สมบูรณ์

12.  การศึกษาเพื่อให้เป็นคนที่สมบูรณ์ ก็คือ การศึกษาตามหลักไตรสิกขาของพระพุทธเจ้า ได้แก่ สีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา
           1) สีลสิกขา เป็นปฐมศึกษาของมนุษย์ เพราะเป็นการศึกษา

 - เพื่อความถึงพร้อมด้วยความประพฤติดี (สีลสมบัติ)

- เพื่อความถึงพร้อมด้วยมรรยาทดี (อาจารสมบัติ)

- เพื่อความถึงพร้อมด้วยการไปในที่ที่เหมาะสม (โคจรสมบัติ)

- เพื่อความถึงพร้อมด้วยการเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ (อาชีวสมบัติ)

- เพื่อความถึงพร้อมด้วยความคิดเห็นที่ชอบตามคลองธรรม (ทิฏฐิสมบัติ)

ความหมายโดยรวมของศีล หรือสีลสิกขา ก็คือ สมบัติผู้ดี หรือคุณสมบัติของคนดี
            2) จิตตสิกขา เป็นมัธยมศึกษาของมนุษย์ เพราะเป็นการศึกษา

- เพื่อรักษาจิตหรือฝึกจิตไม่ให้ยุ่งเหยิง มีระเบียบ และสงบ

- เพื่อรักษาจิตหรือฝึกจิตให้ตั้งมั่นในหน้าที่การงานที่ตนจะต้องปฏิบัติ

ความหมายโดยรวมของจิตตสิกขา ก็คือ การทำจิตให้มีสมาธิ คือมีความตั้งใจพร้อมที่จะใช้ให้ สำเร็จประโยชน์ได้ทุกอย่าง แต่ขอให้ใช้ในทางที่ดีก็แล้วกัน

๓) ปัญญาสิกขา เป็นการศึกษาขั้นอุดมศึกษาของมนุษย์ เพราะเป็นการศึกษา

- เพื่อเจริญปัญญา หรือเพื่อให้เกิดปัญญาด้วยการฟัง (สุตมยปัญญา) ด้วยการคิด (จินตามย ปัญญา) และด้วยการทำ (ภาวนามยปัญญา)

- เพื่อให้เกิดปัญญา คือความรู้ทั่วถึงความจริงของสิ่งที่ควรรู้ทั้งหลาย

ความหมายโดยรวมของปัญญาสิกขา ก็คือ ความรู้ที่สามารถใช้ช่วยตนเองได้ในเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นจริงแก่ชีวิต สามารถใช้แก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นไปโดยเรียบร้อย ทำความสวัสดีให้เกิดขึ้น แก่ตนเองและผู้อื่น ที่เรียกว่า นิปกปัญญา แปลว่า ปัญญาช่วยปกป้องรักษาตน

13.  นิปกปัญญา ปัญญาช่วยปกป้องรักษาตนนั้น หากจะแจกแจงลักษณะหรือองค์ประกอบให้เห็นชัดเจน ก็คือ ประกอบด้วย

-รู้เหตุ (ธัมมัญญู)

-รู้ผล (อัตถัญญู)

-รู้ตน (อัตตัญญู)

-รู้ประมาณ (มัตตัญญู)

-รู้กาล (กาลัญญู)

- รู้ประชุมชน (ปริสัญญู)

- รู้บุคคล (ปุคคลัญญู)

เมื่อประมวลคุณลักษณะหรือองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกัน เรียกว่า อุปายโกศล ความฉลาดรู้ ในอุบาย หรือฉลาดรู้ในการบริหารจัดการเรื่องนั้นๆ ให้สำเร็จลุล่วง

ฉะนั้น ปัญญาที่จะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตจริงๆ คือ นิปกปัญญา นั้น จึงต้องเป็นปัญญา ประยุกต์ คือใช้ได้พอเหมาะแก่ตนเองและสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย

14.  หลักปัญญาในพระพุทธศาสนา จึงสรุปได้ว่า

-มุ่งเพื่อให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ  ประโยชน์มิใช่ประโยชน์

-มุ่งให้รู้คติ คือความดำเนินไปของธรรมดา

-มุ่งให้รู้จักความจริงตามเหตุผล หรือรู้เหตุผลตามเป็นจริง

-มุ่งให้มีความเห็นชอบตามคลองธรรม

15.  ปัญญา หรือความมีอยู่ของปัญญานั้น มิอาจพิสูจน์ได้ด้วยประกาศนียบัตร แต่พิสูจน์ได้ด้วยเหตุการณ์ที่ ชีวิตของแต่ละคนได้ประสบจริงๆ คือเมื่อประสบเหตุการณ์ใดๆ

-ต้องรู้ว่ามีเหตุผลอย่างไร ผิดหรือถูกอย่างไร ควรมิควรอย่างไร

-ต้องสามารถหลีกละการที่มิควร ทำแต่การที่ควร

-ต้องรู้วิธีที่จะกระทำให้บังเกิดผลดีโดยสวัสดีเรียบร้อย

16.  หลักการศึกษาของพระพุทธศาสนา คือหลักไตรสิกขานั้น สรุปได้ว่า

-สีลสิกขา ก็คือการศึกษาที่เกี่ยวกับความประพฤติทั้งปวง

-จิตตสิกขา ก็คือการศึกษาเกี่ยวกับภาวะทางจิตใจทุกอย่าง

-ปัญญาสิกขา ก็คือการศึกษาเกี่ยวกับความรู้ความเห็นทุกประการ

ฉะนั้น หลักไตรสิกขาของพระพุทธเจ้าจึงจำเป็นแก่ชีวิต เหมือนอย่างลมหายใจที่จำเป็นแก่ชีวิต ร่างกาย หยุดลมหายใจเมื่อใด ก็ตายเมื่อนั้น หยุดศึกษาเมื่อใด ก็ตายจากความดีและความรู้เมื่อนั้น คน ตายย่อมไม่มีความรู้สึกตัว คนที่ไม่รู้จักตนเองจึงเหมือนคนตายโดยแท้

17.  การศึกษาให้เกิดปัญญา อันเป็นอุดมศึกษาในพระพุทธศาสนานั้น โดยตรงมุ่งให้เกิดปัญญาในอริยสัจสี่ เพราะที่เรียกว่า ปัญญา หรือรู้ทั่วถึงนั้น

-ต้องรู้ในความจริง (สัจจญาณ)

-ต้องรู้ในกิจ คือหน้าที่ที่จะพึงทำ (กิจจญาณ)

-ต้องรู้ในกิจที่ได้ทำไปแล้ว (กตญาณ)

จึงจะเป็นปัญญาสมบูรณ์ เป็นการศึกษาสมบูรณ์

18.  ผลของการศึกษาในไตรสิกขา โดยตรงก็คือความสวัสดี ความปลอดภัย ความผ่องพ้น ปลอดโปร่ง กล่าวคือ

-สีลสิกขา เป็นการศึกษาที่ทำให้คนมีศีล มีความประพฤติดี ไม่เบียดเบียนให้ใครเดือดร้อน ทำให้สวัสดี คือผ่องพ้นจากความเป็นคนชั่วและเวรภัยต่างๆ

-จิตตสิกขา เป็นการศึกษาที่ทำให้จิตใจตั้งมั่นในความดี ทำให้สวัสดี คือผ่องพ้นจากบรรดา เครื่องกั้นจิตใจไม่ให้บรรลุความดี

-ปัญญาสิกขา เป็นการศึกษาที่ทำให้เกิดปัญญา ทำให้สวัสดี คือผองพ้นจากความโง่เขลา เข้าใจผิด

            ผลของการศึกษาในไตรสิกขา โดยอ้อมก็คือ ผลดีต่างๆ ที่เกิดจากความดีตามคราวที่ความดี นั้นๆ จะพึงอำนวยให้ เทียบกับเมื่อเรียนดี ก็ได้รับรางวัล ฉะนั้น

19.  หลักความคิดทางการศึกษาเกี่ยวกับคนและโลกทางตะวันตกที่เรียกว่า จริยธรรม หรือจริยศาสตร์ (Ethics)  จิตวิทยา (Psychology)   ปรัชญาหรืออภิปรัชญา (Metaphysics) นั้น ก็มีเค้าเดียวกับหลัก ไตรสิกขา

-จริยธรรมหรือจริยศาสตร์ ก็เค้าเดียวกับ สีลสิกขา

- จิตวิทยา ก็เค้าเดียวกับ จิตตสิกขา

-ปรัชญาหรืออภิปรัชญา ก็เค้าเดียวกับ ปัญญาสิกขา

            แต่เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเพียงเค้าๆ เท่านั้น เพราะผู้แสดงหลักเหล่านี้ก็กำลังศึกษาอยู่ จึงแสดงเรื่อง ที่กำลังศึกษาอย่างคาดเดา หรือเก็งความจริง เพราะยังไม่จบการศึกษา

            ส่วนหลักการศึกษาของพระพุทธเจ้านั้น ทรงแสดงตามที่ทรงจบการศึกษามาแล้ว ที่เราเรียกว่า ตรัสรู้ จึงทรงวางหลักความจริงที่บริสุทธิบริบูรณ์ กระทัดรัด เข้าใจง่าย มีเหตุผล และปฏิบัติให้สำเร็จผล ได้จริง.

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อาสาฬหบูชา : วันประดิษฐานพระพุทธศาสนาครั้งแรกในโลก



อาสาฬหบูชา : 

วันประดิษฐานพระพุทธศาสนาครั้งแรกในโลก









บทนำ

วันอาสาฬหบูชา  หมายถึงวันเพ็ญกลางเดือนอาสาฬหมาส (กลางเดือน ๘)  (อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก อาสาฬหปูรณมีบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ) ในปีปกติมาส หากเป็นปีที่มีอธิกมาส ให้เลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลัง วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือธัมมจักกัปปวัตนสูตร
ความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ ๔๕ ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ  อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระปฐมเทศนา คือ    ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์
การที่พระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนาครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ ๑ ใน ๕ ปัญจวัคคีย์ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือ บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระโกณทัญญะจึงเป็นพระสงฆ์รูปแรก และด้วยเหตุที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลเป็นท่านแรก จึงทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็น ครั้งแรกในโลก คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า วันพระธรรม หรือวันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก  และวันพระสงฆ์ คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จึงเป็นวันเริ่มแรกในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา และประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก

ความสำคัญของธัมจักกัปปวัตนสูตร
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นพระสูตรแรกที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงขึ้น เป็นครั้งแรกใน วันอาสาฬหบูชานี้ หลักธรรมสำคัญในพระสูตรบทนี้จึงเป็นธรรมะสำคัญ ที่พุทธศาสนิกชนควรนำไป พิจารณาและทำความเข้าใจ ซึ่งหลักธรรมสำคัญในพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีดังนี้
๑. ทรงแสดงสิ่งที่ไม่ควรเสพสองอย่าง  ส่วนแรกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงคือ กามสุขัลลิกานุโยค การปฏิบัติตนย่อหย่อนสบายกายเกินไป และอัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติตนจนทรมานกายเกินไป

๒. ทรงแสดงการปฏิบัติตามทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘​

๓. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ คือ ทุกขอริยสัจ (รู้ทุกข์) ทุกขสมุทัยอริยสัจ (รู้เหตุเกิดทุกข์) ทุกขนิโรธอริยสัจ (รู้ความดับเหตุแห่งทุกข์) และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (รู้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับ ทุกข์)
๔. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ กล่าวคือ อริยสัจ ๔ มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค, รอบ ๓ มี สัจจญาณ กิจจญาณ     กตญาณ, พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ มีรอบ ๓ คือทรงรู้ด้วยสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ ในอริยสัจ ๔ อย่างละ ๓ รอบ ความรู้จึงเกิดเป็นอาการ ๑๒

อริยสัจ ๔ : หัวใจของพระพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่ทำให้พระองค์ตรัสรู้ คือทรงแสดงอริยสัจ ๔ ประการ และ กิจ ที่ควรทำในอริยสัจ ๔ ประการ เพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ โดยแก้ที่สาเหตุของทุกข์ กล่าวคือ ทุกข์ ควรรู้ สมุทัย ควรละ นิโรธ ควรทำให้แจ้ง มรรค ลงมือปฏิบัติ
ข้อแรกคือ ทุกข์ ในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อนั้น ทรงกล่าวถึงสิ่งเป็นความทุกข์ทั้งปวงในโลก ดังแสดงไว้ใน พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนี้ 
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิด ก็เป็นทุกข์ ความแก่ ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ ก็เป็นทุกข์ ความตาย ก็เป็นทุกข์ การเจอสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์ โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕  เป็นทุกข์"
จากนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า การยึดถือในสิ่งทั้งปวงนั่นเองเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ ดังแสดงไว้ใน พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนี้ 
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือ ตัณหา อันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา"
จากนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า ทุกข์สามารถดับไปได้ โดยการดับที่ตัวสาเหตุแห่งทุกข์ คือ ไม่ยึดถือว่ามีความทุกข์ หรือเราเป็นทุกข์ กล่าวคือ สละถอนเสียซึ่งการถือว่ามีตัวตน อันเป็นที่ตั้งของความทุกข์ (เมื่อไม่มีการยึดมั่นถือมั่นในใจว่าตนนั้นมีตัวตน ที่เป็นที่ตั้งของความทุกข์ ทุกข์ย่อมไม่มีที่ยึด จึงไม่มีความทุกข์ อยู่ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนี้ 
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือด้วยมรรคคือ หมดราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน."
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถึงผลของการปฏิบัติกิจในศาสนาแล้ว จึงได้ตรัสแสดงมรรค คือวิธีปฏิบัติตามทางสายกลางตามลำดับ ๘ ขั้น เพื่อหลุดพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ดังแสดงในพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนี้ 
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑”
พระพุทธองค์ตรัสเรียงวิธีแก้ทุกข์ โดยแสดงให้เห็นปัญหา (ทุกข์) สาเหตุของปัญหา (สมุทัย) และจุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหาคือการดับทุกข์ (นิโรธ) โดยทรงแสดงวิธีปฏิบัติ (มรรค) ไว้ท้ายสุด เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้ทราบจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติก่อน เพื่อการเข้าใจไม่ผิด และจะได้ปฏิบัติโดยมุ่งไปยังจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้โดยไม่คลาดเคลื่อน

ทางสายกลาง

หลักธรรมในพระธรรมจักกัปปวัตนสูตร มีจุดเด่นคือเน้นทางสายกลาง ให้มนุษย์มองโลกตาม ความเป็นจริง (แก้ทุกข์ที่ใจ) เพื่อพบกับความสุขที่ยั่งยืนกว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในปฐมเทศนาต่อมาคือ มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง หลังจากทรงกล่าวปฏิเสธแนวทางพ้นทุกข์ แบบเดิมๆแล้ว ได้ทรงแสดงเสนอแนวทางพ้นทุกข์ใหม่แก่โลก คือทางสายกลาง เป็นการปฏิบัติที่ไม่สุดตึงด้านใดด้านหนึ่ง อันได้แก่การดำเนินตามมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งควรพิจารณาจากข้อความจากพระโอษฐ์โดยตรง ดังแสดงไว้ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนี้
"ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา ให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน นั้น เป็นไฉน?
ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.”

วิเคราะห์

ปัญจวัคคีย์ เป็นนักบวชที่มุ่งหวังความพ้นทุกข์ และปรนนิบัติพระพุทธองค์มาถึง ๖ ปี การปรนนิบัติก็ดี การละทิ้งไปของปัญจวัคคีย์ก็ดี ล้วนมีผลดีต่อพระพุทธองค์ทั้งสองเหตุ ดังนั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และต้องการโปรดสัตว์ ปัญจวัคคีย์จึงเป็นกลุ่มแรกที่ใกล้ชิด พระพุทธองค์มาก่อน และอยู่ไมใกลจากที่ประทับในตอนนั้น
ปัญจวัคคีย์เดิมมีใจยึดมั่นกับการบำเพ็ญทุกรกิริยา เห็นว่าคนจะบรรลุธรรมได้นั้นต้องทรมาน กายอย่างรุนแรงเท่านั้น ยิ่งทำได้มากพวกตนก็ยิ่งเลื่อมใส ที่ละทิ้งพระพุทธเจ้าเมื่อคราวทุกรกิริยา ก็ด้วยรังเกียจที่ทรงเลิกทรมานพระกาย เห็นไปว่าทรงละความเพียร หันกลับหาความสบาย เป็นที่ลามกน่ารังเกียจ พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้ทรงบำเพ็ญเพียรถึง ๖ ปี จึงเป็นเหตุให้ ปัญจวัคคีย์เลื่อมใสอยู่ปรนนิบัติ
กล่าวถึง พระธัมมจักกัปวัตนสูตรนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ โดยทรงเริ่มต้นด้วยเรื่องสุดโต่ง เป็นที่สุดสองอย่าง และเสนอทางใหม่คือ มัชฌิมาปฏิปทา เป็นการกระทบตรงความในใจของท่านเหล่านั้น และท่านเหล่านั้นก็รู้ว่าพระองค์ทรงมีความเพียรอย่าง ยิ่งยวดมากขนาดไหน พระองค์มีความจริงใจที่พวกท่านเหล่านั้นได้ประจักษ์อยู่แน่แท้
วิธีที่พระองค์ทรงเลือกอธิบายนั้นตรงจิตตรงใจ ตรงจุดไปสู่เรื่องพ้นทุกข์อันเป็นจุด เป้าหมายของพวกท่านเหล่านั้นซึ่งพระพุทธองค์ทรงทราบชัดอยู่แล้ว จึงขอยกพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่แสดงไว้ ดังนี้
"อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอื่นฟัง มิใช่สิ่งที่กระทำได้ง่าย ผู้แสดงธรรมแก่คนอื่น พึงตั้งธรรม ๕ อย่างไว้ในใจคือ  เราจักกล่าวชี้แจงไปตามลำดับ ๑ เราจักกล่าวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ ๑ เราจักแสดงด้วยอาศัยเมตตา ๑ เราจักไม่แสดงด้วยเห็นแก่อามิส ๑ เราจักแสดงไปโดยไม่กระทบตนและผู้อื่น ๑”    (องฺ.ปญฺจก ๒๒/๑๕๙/๒๐๕-๖)
และที่สำคัญพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงเยินยอ เว้าวอน ก้าวร้าว ต่อว่า หรือบังคับให้เชื่อ แต่ทรงเลือกอธิบายเป็นเหตุเป็นผล มีแต่ความจริงเป็นขั้นตอนเป็นลำดับไป จนปัญจวัคคีย์  ท่านเกิดเข้าใจบรรลุโสดาบัน และเลื่อมใสขอบวชเป็นภิกษุ
นับว่าพระพุทธองค์ทรงประกอบปัจจัยพร้อมเป็นพระบรมศาสดาครบทุกประการ คือพระองค์ทรงมี คุณสมบัติของพระองค์เองพร้อม ๑ มีเนื้อหาที่จะสอนพร้อม ๑ มีวิธีสอนที่ดีพร้อม ๑ และมีผู้เรียนพร้อม ๑ อันประกอบมีครบถ้วนบริบูรณ์ ณ วันอาสาฬหบูชานั้นเอง

สรุป

พระโกณฑัญญะ เป็นหัวคณะนักบวชของปัญจวัคคีย์ ได้ธรรมจักษุคือดวงตาเห็นธรรม คือเห็นธรรม ความจริงของสิ่งทั้งหลายว่า “ยงฺกิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีการดับไปเป็นธรรมดา”
พระพุทธองค์จึงทรงอุทานว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว เป็นเหตุให้ท่านได้ชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะสืบมา ท่านจึงเป็นพยานแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธองค์เป็นคนแรก
พระอัญญาโกณทัญญะได้ขอบวชจึงเกิดภิกษุรูปแรกขึ้นในพระพุทธศาสนา
เมื่อมีพระสงฆ์รูปแรกแล้วจึงทำให้เกิดพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นครั้งแรก