วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อาสาฬหบูชา : วันประดิษฐานพระพุทธศาสนาครั้งแรกในโลก



อาสาฬหบูชา : 

วันประดิษฐานพระพุทธศาสนาครั้งแรกในโลก









บทนำ

วันอาสาฬหบูชา  หมายถึงวันเพ็ญกลางเดือนอาสาฬหมาส (กลางเดือน ๘)  (อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก อาสาฬหปูรณมีบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ) ในปีปกติมาส หากเป็นปีที่มีอธิกมาส ให้เลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลัง วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือธัมมจักกัปปวัตนสูตร
ความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ ๔๕ ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ  อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระปฐมเทศนา คือ    ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์
การที่พระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนาครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ ๑ ใน ๕ ปัญจวัคคีย์ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือ บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระโกณทัญญะจึงเป็นพระสงฆ์รูปแรก และด้วยเหตุที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลเป็นท่านแรก จึงทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็น ครั้งแรกในโลก คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า วันพระธรรม หรือวันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก  และวันพระสงฆ์ คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จึงเป็นวันเริ่มแรกในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา และประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก

ความสำคัญของธัมจักกัปปวัตนสูตร
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นพระสูตรแรกที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงขึ้น เป็นครั้งแรกใน วันอาสาฬหบูชานี้ หลักธรรมสำคัญในพระสูตรบทนี้จึงเป็นธรรมะสำคัญ ที่พุทธศาสนิกชนควรนำไป พิจารณาและทำความเข้าใจ ซึ่งหลักธรรมสำคัญในพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีดังนี้
๑. ทรงแสดงสิ่งที่ไม่ควรเสพสองอย่าง  ส่วนแรกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงคือ กามสุขัลลิกานุโยค การปฏิบัติตนย่อหย่อนสบายกายเกินไป และอัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติตนจนทรมานกายเกินไป

๒. ทรงแสดงการปฏิบัติตามทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘​

๓. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ คือ ทุกขอริยสัจ (รู้ทุกข์) ทุกขสมุทัยอริยสัจ (รู้เหตุเกิดทุกข์) ทุกขนิโรธอริยสัจ (รู้ความดับเหตุแห่งทุกข์) และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (รู้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับ ทุกข์)
๔. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ กล่าวคือ อริยสัจ ๔ มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค, รอบ ๓ มี สัจจญาณ กิจจญาณ     กตญาณ, พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ มีรอบ ๓ คือทรงรู้ด้วยสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ ในอริยสัจ ๔ อย่างละ ๓ รอบ ความรู้จึงเกิดเป็นอาการ ๑๒

อริยสัจ ๔ : หัวใจของพระพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่ทำให้พระองค์ตรัสรู้ คือทรงแสดงอริยสัจ ๔ ประการ และ กิจ ที่ควรทำในอริยสัจ ๔ ประการ เพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ โดยแก้ที่สาเหตุของทุกข์ กล่าวคือ ทุกข์ ควรรู้ สมุทัย ควรละ นิโรธ ควรทำให้แจ้ง มรรค ลงมือปฏิบัติ
ข้อแรกคือ ทุกข์ ในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อนั้น ทรงกล่าวถึงสิ่งเป็นความทุกข์ทั้งปวงในโลก ดังแสดงไว้ใน พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนี้ 
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิด ก็เป็นทุกข์ ความแก่ ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ ก็เป็นทุกข์ ความตาย ก็เป็นทุกข์ การเจอสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์ โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕  เป็นทุกข์"
จากนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า การยึดถือในสิ่งทั้งปวงนั่นเองเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ ดังแสดงไว้ใน พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนี้ 
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือ ตัณหา อันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา"
จากนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า ทุกข์สามารถดับไปได้ โดยการดับที่ตัวสาเหตุแห่งทุกข์ คือ ไม่ยึดถือว่ามีความทุกข์ หรือเราเป็นทุกข์ กล่าวคือ สละถอนเสียซึ่งการถือว่ามีตัวตน อันเป็นที่ตั้งของความทุกข์ (เมื่อไม่มีการยึดมั่นถือมั่นในใจว่าตนนั้นมีตัวตน ที่เป็นที่ตั้งของความทุกข์ ทุกข์ย่อมไม่มีที่ยึด จึงไม่มีความทุกข์ อยู่ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนี้ 
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือด้วยมรรคคือ หมดราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน."
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถึงผลของการปฏิบัติกิจในศาสนาแล้ว จึงได้ตรัสแสดงมรรค คือวิธีปฏิบัติตามทางสายกลางตามลำดับ ๘ ขั้น เพื่อหลุดพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ดังแสดงในพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนี้ 
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑”
พระพุทธองค์ตรัสเรียงวิธีแก้ทุกข์ โดยแสดงให้เห็นปัญหา (ทุกข์) สาเหตุของปัญหา (สมุทัย) และจุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหาคือการดับทุกข์ (นิโรธ) โดยทรงแสดงวิธีปฏิบัติ (มรรค) ไว้ท้ายสุด เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้ทราบจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติก่อน เพื่อการเข้าใจไม่ผิด และจะได้ปฏิบัติโดยมุ่งไปยังจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้โดยไม่คลาดเคลื่อน

ทางสายกลาง

หลักธรรมในพระธรรมจักกัปปวัตนสูตร มีจุดเด่นคือเน้นทางสายกลาง ให้มนุษย์มองโลกตาม ความเป็นจริง (แก้ทุกข์ที่ใจ) เพื่อพบกับความสุขที่ยั่งยืนกว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในปฐมเทศนาต่อมาคือ มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง หลังจากทรงกล่าวปฏิเสธแนวทางพ้นทุกข์ แบบเดิมๆแล้ว ได้ทรงแสดงเสนอแนวทางพ้นทุกข์ใหม่แก่โลก คือทางสายกลาง เป็นการปฏิบัติที่ไม่สุดตึงด้านใดด้านหนึ่ง อันได้แก่การดำเนินตามมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งควรพิจารณาจากข้อความจากพระโอษฐ์โดยตรง ดังแสดงไว้ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดังนี้
"ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา ให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน นั้น เป็นไฉน?
ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.”

วิเคราะห์

ปัญจวัคคีย์ เป็นนักบวชที่มุ่งหวังความพ้นทุกข์ และปรนนิบัติพระพุทธองค์มาถึง ๖ ปี การปรนนิบัติก็ดี การละทิ้งไปของปัญจวัคคีย์ก็ดี ล้วนมีผลดีต่อพระพุทธองค์ทั้งสองเหตุ ดังนั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และต้องการโปรดสัตว์ ปัญจวัคคีย์จึงเป็นกลุ่มแรกที่ใกล้ชิด พระพุทธองค์มาก่อน และอยู่ไมใกลจากที่ประทับในตอนนั้น
ปัญจวัคคีย์เดิมมีใจยึดมั่นกับการบำเพ็ญทุกรกิริยา เห็นว่าคนจะบรรลุธรรมได้นั้นต้องทรมาน กายอย่างรุนแรงเท่านั้น ยิ่งทำได้มากพวกตนก็ยิ่งเลื่อมใส ที่ละทิ้งพระพุทธเจ้าเมื่อคราวทุกรกิริยา ก็ด้วยรังเกียจที่ทรงเลิกทรมานพระกาย เห็นไปว่าทรงละความเพียร หันกลับหาความสบาย เป็นที่ลามกน่ารังเกียจ พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้ทรงบำเพ็ญเพียรถึง ๖ ปี จึงเป็นเหตุให้ ปัญจวัคคีย์เลื่อมใสอยู่ปรนนิบัติ
กล่าวถึง พระธัมมจักกัปวัตนสูตรนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ โดยทรงเริ่มต้นด้วยเรื่องสุดโต่ง เป็นที่สุดสองอย่าง และเสนอทางใหม่คือ มัชฌิมาปฏิปทา เป็นการกระทบตรงความในใจของท่านเหล่านั้น และท่านเหล่านั้นก็รู้ว่าพระองค์ทรงมีความเพียรอย่าง ยิ่งยวดมากขนาดไหน พระองค์มีความจริงใจที่พวกท่านเหล่านั้นได้ประจักษ์อยู่แน่แท้
วิธีที่พระองค์ทรงเลือกอธิบายนั้นตรงจิตตรงใจ ตรงจุดไปสู่เรื่องพ้นทุกข์อันเป็นจุด เป้าหมายของพวกท่านเหล่านั้นซึ่งพระพุทธองค์ทรงทราบชัดอยู่แล้ว จึงขอยกพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่แสดงไว้ ดังนี้
"อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอื่นฟัง มิใช่สิ่งที่กระทำได้ง่าย ผู้แสดงธรรมแก่คนอื่น พึงตั้งธรรม ๕ อย่างไว้ในใจคือ  เราจักกล่าวชี้แจงไปตามลำดับ ๑ เราจักกล่าวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ ๑ เราจักแสดงด้วยอาศัยเมตตา ๑ เราจักไม่แสดงด้วยเห็นแก่อามิส ๑ เราจักแสดงไปโดยไม่กระทบตนและผู้อื่น ๑”    (องฺ.ปญฺจก ๒๒/๑๕๙/๒๐๕-๖)
และที่สำคัญพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงเยินยอ เว้าวอน ก้าวร้าว ต่อว่า หรือบังคับให้เชื่อ แต่ทรงเลือกอธิบายเป็นเหตุเป็นผล มีแต่ความจริงเป็นขั้นตอนเป็นลำดับไป จนปัญจวัคคีย์  ท่านเกิดเข้าใจบรรลุโสดาบัน และเลื่อมใสขอบวชเป็นภิกษุ
นับว่าพระพุทธองค์ทรงประกอบปัจจัยพร้อมเป็นพระบรมศาสดาครบทุกประการ คือพระองค์ทรงมี คุณสมบัติของพระองค์เองพร้อม ๑ มีเนื้อหาที่จะสอนพร้อม ๑ มีวิธีสอนที่ดีพร้อม ๑ และมีผู้เรียนพร้อม ๑ อันประกอบมีครบถ้วนบริบูรณ์ ณ วันอาสาฬหบูชานั้นเอง

สรุป

พระโกณฑัญญะ เป็นหัวคณะนักบวชของปัญจวัคคีย์ ได้ธรรมจักษุคือดวงตาเห็นธรรม คือเห็นธรรม ความจริงของสิ่งทั้งหลายว่า “ยงฺกิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีการดับไปเป็นธรรมดา”
พระพุทธองค์จึงทรงอุทานว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว เป็นเหตุให้ท่านได้ชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะสืบมา ท่านจึงเป็นพยานแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธองค์เป็นคนแรก
พระอัญญาโกณทัญญะได้ขอบวชจึงเกิดภิกษุรูปแรกขึ้นในพระพุทธศาสนา
เมื่อมีพระสงฆ์รูปแรกแล้วจึงทำให้เกิดพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นครั้งแรก

เมื่อมีพระรัตนตรัยครบแล้ว จึงได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนา และเผยแผ่คำสอนไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก

เอกสารอ้างอิง

ประยงค์ สุวรรณบุบผา, น.อ.. วันอาสาฬหบูชา. นครปฐม : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖.
มหามกุฏราชวิทยาลัย, มูลนิธิ. พระไตรปิฎกภาษาไทย. นครปฐม : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓.
มหามกุฏราชวิทยาลัย, มูลนิธิ. พระไตรปิฎกภาษาบาลี. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘.
พระเทพวิสุทธิญาณ (อุบล นนฺทโก). พุทธประวัติสังเขป และศาสนพิธีสังเขป. กรุงเทพฯ โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น