ศึกษาการสร้างวัดตามแนวพระราชดำริในรัชกาลที่
๔
พจนารถ สุพรรณกูล
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
๑) เพื่อศึกษาพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ๒) เพื่อศึกษาวัดที่สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริเกี่ยวกับ
การสร้างวัดของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และ ๓) เพื่อศึกษาพระราชดำริ
เกี่ยวกับการสร้างวัดของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
สารนิพนธ์นี้เป็น การศึกษาเชิงคุณภาพ โดยได้ค้นคว้าจากพระไตรปิฎก
จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔ ประชุมประกาศ รัชกาลที่ ๔ พระราชพงศาวดาร ประวัติวัด
และเอกสารทางวิชาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ผลการวิจัยพบว่า
๑) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงผนวชเป็นเวลา ๒๗ ปี ก่อนขึ้นครอง ราชสมบัติ เมื่อครองราชสมบัติแล้ว
จึงทำให้ทรงได้ทำนุบำรุง ส่งเสริม และฟื้นฟูพระพุทธศาสนา เป็นอันมาก
๒) การสร้างวัดในพระพุทธศาสนาได้มีคติเป็นแบบอย่างมาแต่ครั้งพุทธกาลเป็น
๒ แบบ คือ วัดพุทธเจดีย์ และวัดอนุสาวรีย์ ซึ่งคติการสร้างวัดทั้งสองแบบนี้
ได้สืบทอดมาถึงการสร้างวัด ในประเทศไทยนับแต่ครั้งกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา
ตลอดมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
การสร้างวัดในรัชกาลที่ ๔ นั้น
เป็นการผสมผสานระหว่างคตินิยมทั้ง ๒ แบบ คือ วัดพุทธเจดีย์และวัดอนุสาวรีย์เข้าด้วยกัน
หรือรวมวัดทั้ง ๒ แบบเป็นวัดเดียวกัน กล่าวคือ สร้างวัดพุทธเจดีย์พระราชทานอุทิศเป็นอนุสาวรีย์แก่บุคคลต่าง ๆ
ตามพระราชประสงค์ โดยมีรูปแบบ การสร้างวัด ๔ แบบ คือ แบบคู่ขนาน คือ
วางเขตพุทธาวาสไว้ตรงกลาง เขตสังฆาวาสขนาบสองข้าง แบบซ้ายขวา คือ
วางเขตพุทธาวาสไว้ด้านหนึ่ง เขตสังฆาวาสไว้อีกด้านหนึ่ง เรียกว่าซ้ายขวา
หรือตะวันออกตะวันตกก็ได้ แบบหน้าหลัง คือ วางเขตพุทธาวาสไว้ด้านหน้า เขตสังฆาวาส ไว้ด้านหลัง
และแบบครึ่งวงกลม คือ วางเขตพุทธาวาสไว้ตรงกลาง เขตสังฆาวาสโอบล้อมเป็น ครึ่งวงกลม
๓) แนวพระราชดำริในการสร้างวัดของรัชกาลที่
๔ เป็นการรักษาคตินิยมแบบเดิมให้คงอยู่ พร้อมทั้งทรงทำสิ่งใหม่ให้เป็นแบบอย่างสำหรับคนรุ่นหลังจะได้ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป
โดยเน้นความถูกต้องตามพุทธบัญญัติเป็นสำคัญโดยเฉพาะเรื่องนิมิตและสีมาและ อนุรักษ์คตินิยมอันดีที่มีมาแต่โบราณให้คงไว้อย่างมีระเบียบแบบแผน
เพื่อเป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลัง
ABSTRACT
The
objectives of this thematic paper were as follows :-1) to
study the royal biography of King Mongkut, the King Rama IV, 2) to
study Wats or Buddhist monasteries constructed according to the royal initiatives
of King Mongkut, and 3) to study the royal initiatives of
King Mongkut on constructing Buddhist Wats. This is a qualitative research
based on the Pali Canon, Royal Annals and Collections of Royal Announcements of
King Mongkut, Royal writings of King Mongkut, histories of Wats and other
relevant academic texts.
The results of the study
found that :
1) King Mongkut ordained as a
Buddhist monk for 27 years before his enthronement. After ruling the country,
King Mongkut then supported, promoted and revived Buddhism in a great number.
2)
The study found that there were two styles of constructing Buddhist monasteries
which had been inherited from the time of the Buddha. They were sacred (or Wats
with Buddhist pagodas) and monumental (Wats with monumental purpose). Both
concepts of construction were inherited from the time of Sukhothai period to
Ayutthaya and early Ratanakosin period. The King Mongkut’s style of
constructing Wats were both sacred and monumental or mixture between the two.
This meaned the construction of sacred Buddhist pagodas in tributes to persons
of the royal wishes. There were four
layout styles of Wats : 1. Parallel style i.e. constructing the sacred zone
(Buddha or pagoda zone) in the middle and constructing residential or monastic
zone (sangha zone) on both sides of left and right, 2. Left-Right style i.e.
placing the sacred zone on one side and residential zone on the other. This
style was sometimes called Left-Right style or East-West style, 3. Front-Rear
style i.e. placing the sacred zone at the front and residential zone at rear,
and 4. Semi-circle style i.e. placing the sacred zone in the middle and
surrounded by residential zone in the shape of a semi-circle.
3) Therefore,
the royal initiatives of King Mongkut’s model on constructing Buddhist
monasteries was to preserve traditional belief as well as initiating some new
styles as models for future generations to follow the tradition correctly and
appropriately. Moreover, it had to be properly constructed according to the
monastic rules set by the Buddha particularly on symbol and boundary stones and
also to treasure traditional belief for future generations to able to follow
properly and correctly.
๑. บทนำ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้กำเนิดพระพุทธศาสนามาได้กว่า ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว ทำให้มีพุทธศาสนิกชนอยู่ทั่วโลก
และยังก่อให้เกิดพุทธสถาน ถาวรวัตถุ และสถาปัตยกรรม
ที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ในสมัยพุทธกาลนั้น
ผู้นับถือพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอน และพระสงฆ์สาวก
ได้เริ่มก่อสร้างหรือถวายอาคารสถานที่สำหรับเป็นที่พักอาศัยของภิกษุสามเณรกันมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งวัดแห่งแรกได้แก่ วัดเวฬุวนาราม
พระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธเป็นผู้สร้างถวายเป็นวัดแรก โดยที่พระพุทธเจ้า และพระสาวกประทับ
และอาศัยอยู่เป็นการชั่วคราว เมื่อเสด็จมาพำนัก ณ เมือง นั้น ๆ วัดจึงไม่มีพระสงฆ์อยู่เป็นการถาวร
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วจึงได้มีพระสงฆ์ อยู่เป็นประจำ ทั้งนี้มีมูลเหตุมาจากพระสงฆ์สาวกที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
ได้ไปสักการะสังเวชนียสถาน จึงได้เกิดวัดที่มีพระสงฆ์อยู่ประจำขึ้น๑ ต่อมาเมื่อมีการสร้างวัดขึ้นในสถานที่ต่างๆ
จึงได้มีสิ่ง ก่อสร้างที่แสดงถึงการสักการะแทนองค์พระพุทธเจ้าและพระธรรม เช่น สถูป
เจดีย์ โบสถ์ วิหาร หอไตร พระพุทธรูป นับเป็นเขตพุทธาวาส
และสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงการสักการะสงฆ์สาวก เช่น กุฎี นับเป็นเขตสังฆาวาส
วัดที่สร้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น
มีรูปแบบความนิยมตามสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
มีพระราชนิยมในการสร้างวัด โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีน
ส่วนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมของการสร้างวัดแบบไทย
จีน และตะวันตก ซึ่งเป็นรูปแบบพิเศษเฉพาะของการสร้างวัดในรัชกาลที่ ๔ ดังนั้น จึงสมควรที่จะได้ศึกษาถึง
วัดที่ทรงสร้างว่ามีที่มา รูปแบบ ความหมาย แนวคิด ในการสร้างวัดอย่างไรบ้าง
๒. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
๑. เพื่อศึกษาพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔
๒. เพื่อศึกษาวัดที่สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการสร้างวัดของพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
๓. เพื่อศึกษาพระราชดำริเกี่ยวกับการสร้างวัดของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔
๓. ขอบเขตของการวิจัย
งานวิจัยนี้
เป็นการศึกษาเอกสาร (Documentary
Research) โดยศึกษาข้อมูล จากจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔ ประชุมประกาศรัชกาลที่
๔ หนังสือพระราชประวัติรัชกาลที่ ๔ ประวัติวัดที่รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้าง ๖ วัด
ได้แก่ วัดบรมนิวาส วัดโสมนัสวิหาร วัดปทุมวนาราม วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม วัดมกุฏกษัตริยาราม
และวัดตรีทศเทพ
๔. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
๑.
ทำให้ทราบถึงพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒. ทำให้ทราบถึงรูปแบบ ความหมาย
และที่มาของวัดที่สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๓.
ทำให้ทราบถึงพระราชดำริเกี่ยวกับการสร้างวัดของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๔. สามารถนำผลการวิจัยไปเผยแพร่แก่สาธารณชน
และเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยต่อไป
๕.
ผลการวิจัย
การศึกษาการสร้างวัดตามแนวพระราชดำริในรัชกาลที่
๔ นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา แนวพระราชดำริในการสร้างวัดของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในด้านรูปแบบ ความหมาย และที่มาของพระราชดำริ จากการศึกษาพบว่า
รูปแบบของการสร้างวัดในพระพุทธศาสนานับแต่ครั้งพุทธกาลมามี ๒ แบบ คือ
วัดพุทธเจดีย์ ได้แก่วัดที่สร้างบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์
ซึ่งจะมีพระเจดีย์เป็นหลักสำคัญของ วัด และมีวิหารสำหรับเป็นที่ชุมนุมของพุทธบริษัทที่มาสักการบูชาพุทธเจดีย์
และวัดอนุสาวรีย์ ได้แก่ วัดที่สร้างเป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของผู้ทรงธรรมในพระพุทธศาสนา
เช่น ครูอาจารย์ เป็นต้น มีส่วนประกอบเหมือนกับวัดประเภทแรก
ในประเทศไทย นับแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา
การสร้างวัดก็เป็นไปตามคตินิยมครั้ง พุทธกาล คือ มีทั้งวัดพุทธเจดีย์ และวัดอนุสาวรีย์
เพียงแต่องค์ประกอบของวัดแตกต่างไป ตามความจำเป็นและความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
ในยุคกรุงสุโขทัย
มีการสร้างวัดทั้ง ๒ แบบ แต่วัดอนุสาวรีย์จะมีมากกว่าวัดพุทธเจดีย์ และวัดส่วนใหญ่เป็นวัดไม่มีพระสงฆ์อยู่
มีบางวัดเท่านั้นที่เป็นวัดมีพระสงฆ์อยู่ สิ่งก่อสร้างที่มี เพิ่มขึ้นในวัดยุคนี้คือ
อุโบสถ ซึ่งมักสร้างเป็นอาคารเล็ก ๆ ไว้หลังพระเจดีย์ และมีเป็นบางวัดเท่านั้น
ในยุคกรุงศรีอยุธยา
การสร้างวัดก็ยังคงเป็นไปตามคติครั้งกรุงสุโขทัย สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป คือ
วัดทุกแบบล้วนมีอุโบสถและมีพระสงฆ์อยู่อาศัย อันเนื่องมาจากเกิดประเพณีบวชเรียนขึ้นใน
หมู่ประชาชน ส่วนวัดอนุสาวรีย์นั้น นิยมสร้างสถูป หรือเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุไว้ตามบริเวณวัด
แทนการสร้างเป็นเจดีย์ใหญ่เพียงองค์เดียว
ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
การสร้างวัดก็ยังดำเนินไปตามคตินิยมครั้งกรุงศรีอยุธยา คือ มีทั้งวัดพุทธเจดีย์และวัดอนุสาวรีย์
แต่องค์ประกอบของวัดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง กล่าวคือ วัดพุทธเจดีย์
มักเริ่มด้วยการสร้างกุฏิที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ก่อน แล้วจึงค่อยสร้างศาลาการเปรียญ
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป แล้วจึงค่อยสร้างอุโบสถต่อมาภายหลัง ส่วนวัดอนุสาวรีย์นั้น
มักเริ่มจากการสร้างอุโบสถก่อนแล้วจึงค่อยสร้างกุฏิที่อยู่ของพระสงฆ์ตามมา
ส่วนพระเจดีย์และ วิหาร ซึ่งครั้งโบราณถือว่า
เป็นสิ่งสำคัญนั้น ไม่ค่อยถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น แต่ละวัดจึงมีบ้างไม่มีบ้าง
สำหรับวัดที่รัชกาลที่ ๔
ทรงสร้างนั้นมีด้วยกัน ๖ วัด ดังนี้
๑.
วัดบรมนิวาส เป็นวัดแรกที่รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างครั้งยังทรงผนวชอยู่ เมื่อ พ.ศ.
๒๓๗๙ มีการวางแผนผังเป็นแบบครึ่งวงกลม คือตำแหน่งของเขตพุทธวาสอยู่ตรงกลาง
เขตสังฆาวาส โอบล้อมเขตพุทธาวาสเป็นครึ่งวงกลม มีรูปแบบวัดโดยวางพระอุโบสถอยู่หน้าพระเจดีย์
พระวิหาร ส่วนสีมาเป็นแบบสีมา ๒ ชั้น คือ มหาสีมาและขัณฑสีมา
๒. วัดโสมนัสวิหาร สร้างขึ้นเมื่อ
พ.ศ. ๒๓๙๖ ทรงสร้างขึ้นเป็นวัดแห่งแรกในสมัย รัชกาลที่ ๔ มีการวางแผนผังเป็นแบบขนาน
คือตำแหน่งเขตพุทธาวาสอยู่ตรงกลาง เขตสังฆาวาส วางขนาบอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของเขตพุทธาวาส
มีรูปแบบวัดโดยวางพระวิหารอยู่หน้า พระเจดีย์ พระอุโบสถ ส่วนสีมาเป็นแบบสีมา ๒
ชั้น คือ มหาสีมาและขัณฑสีมา
๓.
วัดปทุมวนาราม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ มีการวางแผนผังเป็นแบบวางด้านหลัง คือ ตำแหน่งเขตสังฆาวาสอยู่ด้านหลังหรือโอบล้อมเขตพุทธาวาส
มีรูปแบบวัดโดยวางวาง พระอุโบสถอยู่หน้าพระเจดีย์ พระวิหาร
และเสริมด้วยทับเกษตรพระศรีมหาโพธิ์ ส่วนสีมาเป็น แบบสีมา ๒ ชั้น คือ
มหาสีมาและขัณฑสีมา
๔.
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๗ มีการวางแผนผังเป็น แบบวางด้านซ้าย-ขวา
คือ ตำแหน่งเขตสังฆาวาสอยู่ด้านซ้ายหรือด้านขวาของเขตพุทธาวาส มีรูปแบบวัดโดยวางวางพระวิหารอยู่หน้าพระเจดีย์
โดยไม่มีพระอุโบสถ เนื่องจากกำหนดสีมาเป็น แบบสีมาชั้นเดียว คือ มหาสีมา
เป็นสีมาขนาดใหญ่ที่โอบล้อมบริเวณวัดทั้งหมด ซึ่งเป็นวัดเดียวที่ ทรงสร้างรูปแบบนี้
๕.
วัดมกุฏกษัตริยาราม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ มีการวางแผนผังเป็นแบบขนาน คือ ตำแหน่งเขตพุทธาวาสอยู่ตรงกลาง
เขตสังฆาวาสวางขนาบอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของเขต พุทธาวาส มีรูปแบบวัด โดยวางพระวิหารอยู่หน้าพระเจดีย์
พระอุโบสถ ส่วนสีมาเป็นแบบสีมา ๒ ชั้น คือ มหาสีมาและขัณฑสีมา
๖.
วัดตรีทศเทพ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ มีการวางแผนผังเป็นแบบวางด้านซ้าย หรือด้านขวา หมายถึง ตำแหน่งเขตสังฆาวาสอยู่ด้านซ้ายหรือด้านขวาของเขตพุทธาวาส
มีรูปแบบวัด (แบบเดิม) โดยวางพระวิหารอยู่หน้าพระเจดีย์ พระอุโบสถ
ส่วนสีมาเป็นแบบสีมา ๒ ชั้น คือ มหาสีมาและขัณฑสีมา
ส่วนการสร้างวัดในรัชกาลที่ ๔
นั้น กล่าวได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างคตินิยมทั้ง ๒ แบบ คือ วัดพุทธเจดีย์ และวัดอนุสาวรีย์เข้าด้วยกัน
หรือรวมวัดทั้ง ๒ แบบ เป็นวัดเดียวกัน กล่าวคือ
สร้างวัดพุทธเจดีย์พระราชทานอุทิศเป็นอนุสาวรีย์แก่บุคลต่าง ๆ ตามพระราชประสงค์
ฉะนั้น ในการสร้างวัดของพระองค์
จึงเป็นการรักษาคตินิยมแบบเดิมให้คงอยู่ พร้อมทั้งทรงทำสิ่งใหม่ให้ เป็นแบบอย่างสำหรับคนรุ่นหลังจะได้ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป
โดยเน้นความ ถูกต้องตามพุทธบัญญัติเป็นสำคัญ
และอนุรักษ์คตินิยมอันดีที่มีมาแต่โบราณให้คงไว้อย่างมี ระเบียบแบบแผน
เพื่อเป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลัง ซึ่งสรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ดังนี้
๑. ด้านรูปแบบการสร้างวัด
ทรงทำเป็น ๔ แบบ คือ
๑.๑
แบบคู่ขนาน คือ วางเขตพุทธาวาสไว้ตรงกลาง เขตสังฆาวาสขนาบสองข้าง
๑.๒
แบบซ้ายขวา คือ วางเขตพุทธาวาสไว้ด้านหนึ่ง เขตสังฆาวาสไว้อีกด้านหนึ่ง
เรียกว่าซ้ายขวา หรือตะวันออกตะวันตกก็ได้
๑.๓
แบบหน้าหลัง คือ วางเขตพุทธาวาสไว้ด้านหน้า เขตสังฆาวาสไว้ด้านหลัง
๑.๔
แบบครึ่งวงกลม คือ วางเขตพุทธาวาสไว้ตรงกลาง เขตสังฆาวาสโอบล้อม เป็นครึ่งวงกลม
๒. ด้านรูปแบบเขตพุทธาวาส
ทรงทำเป็น ๔ แบบ คือ
๒.๑
วางพระวิหารไว้หน้าพระเจดีย์ และพระอุโบสถ
๒.๒
วางพระอุโบสถไว้หน้าพระเจดีย์ และพระวิหาร
๒.๓
วางพระวิหารไว้หน้าพระเจดีย์ โดยไม่มีพระอุโบสถ
๒.๔
วางพระวิหารไว้หน้าพระเจดีย์ และพระอุโบสถ ต่อด้วยทับเกษตรพระศรีมหาโพธิ์
๓. เรื่องสีมา ทรงทำเป็น ๒ อย่าง
คือ มหาสีมาและขัณฑสีมา และทั้ง ๒ อย่าง ทรงทำเป็น ๒ ขนาด คือ
๓.๑
มหาสีมาขนาดใหญ่ ได้แก่เป็นมหาสีมาหมดทั้งวัด
๓.๒
มหาสีมาขนาดเล็ก ได้แก่เป็นมหาสีมาเฉพาะเขตพุทธาวาส
๓.๓
ขัณฑสีมาขนาดใหญ่ คือไม่กำหนดเขตสีมาเฉพาะโรงอุโบสถ แต่มีบริเวณโดย รอบโรงอุโบสถตามสมควร
พอที่จะใช้ทำสังฆกรรมภายนอกโรงอุโบสถได้
๓.๔
ขัณฑสีมาขนาดเล็ก ได้แก่กำหนดเขตสีมาเฉพาะโรงอุโบสถเท่านั้น
ทั้งนี้
เพื่อความสะดวกในการทำสังฆกรรมของพระสงฆ์ ฉะนั้น วัดที่ทรงสร้างทุกวัด จึงมีสีมา ๒
ชั้น คือ มีทั้งมหาสีมาและขัณฑสีมา ยกเว้นวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ที่มีเฉพาะ มหาสีมา เพราะเป็นวัดขนาดเล็ก
๔. เรื่องนิมิต ทรงเน้นศิลานิมิตที่มีขนาดถูกต้องตรงตามพระพุทธบัญญัติ
และทรงใช้วัสดุ อื่น ๆ นอกจากศิลานิมิต เป็นนิมิต ในวัดที่ทรงสร้างและทรงบูรณะด้วย
คือ รุกขนิมิต อุทกนิมิต และปาสาณนิมิต
๕. เรื่องพระศรีมหาโพธิ์
ทรงให้ความสำคัญแก่พระศรีมหาโพธิ์ ในฐานะที่เป็นบริโภคเจดีย์ อย่างหนึ่ง
ทั้งเป็นครั้งแรกที่ทรงได้พันธุ์พระศรีมหาโพธิ์มาจากอินเดียโดยตรง จึงทรงกำหนดการ ปลูกพระศรีมหาโพธิ์ไว้ในแนวเดียวกับสิ่งสำคัญในเขตพุทธาวาส
คือ ปลูกไว้ต่อจากพระวิหาร พร้อมทั้งทรงสร้างทับเกษตรล้อมไว้ด้วย
ผลจากการศึกษา
ทำให้พบแนวพระราชดำริที่สำคัญในการสร้างวัดของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สรุปได้ดังนี้
๑.
ทรงแสดงให้เห็นว่ารูปแบบของวัดที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร ดังจะเห็นได้จากรูปแบบ ของวัดต่าง
ๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง ซึ่งมีการจัดแบ่งบริเวณที่เป็นเขตพุทธาวาสกับเขตสังฆาวาสไว้ อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ เพื่อความเป็นระเบียบสวยงามของอาราม ทั้งเป็นสัดส่วนไม่ปะปน
เพราะเขตพุทธาวาสนั้นเป็นเสมือนที่ประทับของพระพุทธเจ้า
จึงควรเป็นบริเวณที่ได้รับความเคารพ และจัดไว้เป็นสัดส่วนอย่างเหมาะสม
ส่วนเขตสังฆาวาสนั้น เป็นเสมือนที่อยู่อาศัยของเหล่า พุทธสาวก จึงควรจัดไว้ให้เป็นสัดส่วนไม่สับสนปนเป
และเอื้อต่อการรักษาพระวินัย ดังจะเห็นได้ว่าเสนาสนะที่พักสงฆ์นั้น
จัดเป็นหมู่เป็นคณะแต่พอเหมาะ แต่ละหมู่ แต่ละคณะ มีเสนาสนะสำหรับพระเถระผู้เป็นหัวหน้า
หรือเจ้าคณะ แวดล้อมด้วยเสนาสนะ หรือกุฏิสำหรับ ภิกษุสามเณรผู้อยู่ในปกครอง
๒. รูปแบบการสร้างวัดตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ทรง แบ่งเขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาสนั้น
แสดงให้เห็นว่าทรงได้แนวพระราชดำรินี้มาจาก รูปแบบของอารามในครั้งพุทธกาล
ซึ่งปรากฏให้เห็นว่า พระอารามที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับนั้น พระคันธกุฎีจะตั้งอยู่ตรงกลางของพระอาราม
ส่วนกุฎีที่พักของพระสาวกจะเรียงรายแวดล้อม พระคันธกุฎีอย่างเป็นระเบียบ
นับแต่กุฎีของพระอัครสาวกลดหลั่นกันไปตามลำดับ ฉะนั้น
รูปแบบการสร้างวัดในรัชกาลที่ ๔ จึงทรงวางไว้เป็น ๓ แบบ กล่าวคือ แบบแบ่งครึ่งหรือซ้าย-ขวา
คือ เขตพุทธาวาสกับเขตสังฆาวาสอยู่ซ้ายขวาของกันและกัน
แบบคู่ขนาน คือเขตพุทธาวาส อยู่กลาง เขตสังฆาวาสขนาบสองข้าง และแบบครึ่งวงกลม คือ เขตสังฆาวาสโอบล้อมเขตพุทธาวาส
๓.
การวางผังเขตพุทธาวาสของวัดที่ทรงสร้างในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งทรงวางไว้เป็น ๓ แบบ คือ
แบบพระวิหารอยู่หน้า พระเจดีย์อยู่กลาง พระอุโบสถอยู่ท้าย
แบบพระอุโบสถอยู่หน้าพระเจดีย์ พระวิหาร และแบบที่วางพระวิหารไว้หน้า
พระเจดีย์อยู่หลัง โดยไม่มีพระอุโบสถนั้น แสดงให้เห็นแนวพระราชดำริว่า
ทรงเรียงลำดับตามหลักพระรัตนตรัย กล่าวคือ พระวิหารอันเป็นที่ ประดิษฐานพระพุทธปฏิมานั้น
เปรียบเสมือนพระพุทธ พระเจดีย์โดยทั่วไปมักเป็นที่ประดิษฐาน พระธรรมคำสอนนั้น
เปรียบเสมือนพระธรรม ส่วนพระอุโบสถซึ่งเป็นที่สำหรับทำสังฆกรรมของ สงฆ์นั้น เปรียบเสมือนพระสงฆ์
ฉะนั้น ผู้ที่เข้ามาสู่พระอาราม เมื่อนมัสการกราบไว้พระพุทธปฏิมา ในพระวิหารอันตั้งอยู่เป็นประธานของวัด
จึงเท่ากับได้กราบไหว้พระรัตนตรัยครบทั้ง ๓
แบบพระอุโบสถอยู่หน้าพระเจดีย์
พระวิหาร ก็นัยเดียวกัน คือ ถือว่าพระอุโบสถ ได้แก่ ที่ประดิษฐานพระพุทธปฏิมาอันเป็นหลักของวัด
เปรียบเสมือนพระพุทธ พระเจดีย์เปรียบเสมือน พระธรรม พระวิหาร คือ ที่ประกอบศาสนกิจของพระสงฆ์
เปรียบเสมือนพระสงฆ์
ส่วนแบบที่มีแต่พระวิหาร และพระเจดีย์นั้น
ทรงมีแนวพระราชดำริว่า พระวิหาร และ
พระอุโบสถนั้นใช้ร่วมกันได้ ดังเช่นวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เป็นต้น
เพราะพระพุทธ และพระสงฆ์นั้น
หมายถึง บุคคลประเภทเดียวกัน คือ พุทธะ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน หรืออรหันต์
ผู้ไกลจากกิเลส หรือบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเหมือนกัน
๔.
แนวพระราชดำริที่ปรากฏชัดเจนในวัดทุกวัดที่ทรงสร้างในรัชกาลที่ ๔ อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เรื่องสีมา ดังจะเห็นได้ว่า
วัดที่ทรงสร้างมีสีมา ๒ แบบ คือ สีมา ๒ ชั้น กับสีมาชั้นเดียว
วัดที่มีขนาดใหญ่ทรงสร้างเป็นวัดมีสีมา ๒ ชั้น คือ มีทั้งมหาสีมาและขัณฑสีมา
ส่วนวัดที่มี ขนาดเล็กทรงสร้างเป็นวัดมีสีมาชั้นเดียว คือ มหาสีมา ซึ่งมีวัดเดียว คือ
วัดราชประดิษฐสถิต- มหาสีมาราม ทั้งนี้ น่าจะทรงแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า เรื่องสีมานั้นในทางปฏิบัติจริงควรทำ
อย่างไรจึงจะถูกต้อง ฉะนั้น วัดที่ทรงสร้างแบบมีสีมา ๒ ชั้น
หรือมีสีมาชั้นเดียวนั้น จึงเท่ากับเป็นการที่ทรงแสดงตัวอย่างในเรื่องสีมาตามที่ทรงศึกษาจากพระคัมภีร์ให้คนรุ่นหลังได้ดูเป็นแบบ
๕.
แนวพระราชดำริสุดท้ายที่จะเห็นได้จากวัดที่ทรงสร้างในรัชกาลที่ ๔ คือเรื่องนิมิต ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง
ในเรื่องสีมาตามพระพุทธบัญญัติ กล่าวคือ สีมาในวัดที่ทรง สร้าง และทรงบูรณะนั้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้วัสดุหลายอย่างเป็นนิมิต ในการผูกพัทธสีมา ได้แก่ ศิลานิมิต
คือ ก้อนหิน ปาสาณนิมิต คือเสาหิน รุกขนิมิต คือ ต้นไม้ อุทกนิมิต คือ บ่อน้ำ ทั้งนี้
เพื่อทรงแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า การใช้วัสดุแต่ละอย่างเป็นนิมิตนั้น
ควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ
๖. ข้อเสนอแนะ
๖.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
จากการศึกษางานวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยพบว่า
แนวพระราชดำริในการสร้างวัดในรัชกาลที่ ๔ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในปัจจุบันได้
โดยหน่วยงานด้านการคณะสงฆ์ ต้องให้ การสนับสนุน เพื่อนำแนวพระราชดำริในการสร้างวัดของรัชกาลที่
๔ ที่มีประโยชน์โดยสื่อเน้นถึง นามธรรม คือ การให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าถึงแก่น หรือหลักของพระพุทธศาสนา
โดยการมอง ผ่านรูปธรรม คือ วัด หรือสิ่งก่อสร้างตามแบบพระราชนิยมที่สร้างขึ้น
ดังนี้
๑.
นำแนวพระราชดำริในการสร้างวัดมาเป็นแบบอย่างในการสร้างวัดในปัจจุบัน
๒. รัฐบาล คณะสงฆ์
ควรส่งเสริมสนับสนุนในการสร้างวัดโดยการนำแนวพระราชดำริ ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับปัจจุบัน
๓.ในการสร้างวัด
เน้นการใช้งานของสิ่งก่อสร้างที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ พุทธศาสนิกชน
๔.
ข้อเสนอแนะเชิงวิจารณ์ในสังคมปัจจุบัน เนื่องจากการสร้างวัดในปัจจุบันเน้นอาคาร สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โต
ใช้งบประมารในการสร้างมาก และทำให้ขาดการบำรุงรักษารวมทั้งผู้ดูแล จึงควรนำหลักการสร้างวัดตามแนวพระราชดำริในรัชกาลที่
๔ มาประยุกต์ ให้สร้างวัดมีขนาดที่ เหมาะสม กับสังคม ชุมชน เศรษฐกิจ
และเป็นไปตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
๖.๒ ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัย
จากการศึกษาวิจัยนี้ ผู้วิจัยพบว่ามีอีกหลายประเด็นที่ควรจะนำไปศึกษา
เนื่องจากผลของ การวิจัยนี้ได้วิจัยเฉพาะวัด หรือพระอามหลวงที่รัชกาลที่ ๔
ทรงสร้าง และอยู่ในกรุงเทพมหานคร เท่านั้น ดังนั้น จึงควรนำแนวทางนี้ไปศึกษาค้นคว้าวิจัย
เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจยิ่งขึ้นต่อไป ดังนี้
๑.
ศึกษาวิเคราะห์แนวพระราชดำริในการสร้างวัดในรัชกาลที่ ๔ ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพ-มหานคร
และต่างจังหวัด และทั้งที่เป็นพระอารามหลวง และวัดราษฎร์
๒.
ศึกษาเปรียบเทียบแนวพระราชดำริในการสร้างวัดในรัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ว่า มีประเด็นเหมือน
หรือแตกต่างกันอย่างไร
บรรณานุกรม
๑. ภาษาไทย
ข้อมูลปฐมภูมิ
มหามกุฏราชวิทยาลัย, มูลนิธิ. พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี
เล่มที่ ๗, ๑๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, พ.ศ.
๒๕๓๘.
หอสมุดแห่งชาติ. จดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๔ เลขที่ ๓๐
(สมุดไทย). ประกาศเขตวิสุงคามสีมาวัด
พระนามบัญญัติและวัดตรีทศเทพล, จ.ศ. ๑๒๓๐.
_______.
จดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๔ เลขที่ ๔๔ ข้อ ๔ (สมุดไทย). ประกาศเขตวิสุงคามสีมาวัด
พระนามบัญญัติและวัดตรีทศเทพ, จ.ศ. ๑๒๓๐.
_______.
จดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๔ เลขที่ ๕๘ (สมุดไทย). ประกาศเรื่องวัดราชประดิษฐ์, ม.ป.ป.
_______.
จดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๔ เลขที่ ๑๕๓ (สมุดไทย). ประกาศเขตวิสุงคามสีมาวัดโสมนัส วัดปทุม
วัดบุญศิริอำมาตย์ และวัดราชประดิษฐ์, จ.ศ. ๑๒๒๗.
ข้อมูลทุติยภูมิ
๑)
หนังสือทั่วไป
การศาสนา, กรม. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๖.
_______.
ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร
เล่ม ๒. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๕.
_______.
ประวัติสำคัญทางพุทธศาสนา ตอน ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา,
๒๕๒๖.
ขจร สุขพานิช. “หมอบรัดเลย์และมิชชั่นนารีอเมริกัน”. ใน พระเกียรติประวัติพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระนคร :
โรงพิมพ์มหาดไทย, ๒๕๐๐ :
๑๑-๙๗.
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๔. พระนคร :
การพิมพ์ เกื้อกูล, ๒๕๐๗.
โชติ กัลยาณมิตร. สถาปัตยกรรมแบบไทยเดิม.
พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๙.
น. ณ ปากน้ำ. สีมากถา สมุดข่อยวัดสุทัศนเทพวราราม. กรุงเทพมหานคร
: ศรีบุญอุตสาหกรรม การพิมพ์สุขภาพใจ, ๒๕๔๐.
นฤมล ศรีกิจการ.
“พระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”. ใน รวมบทความทางประวัติศาสตร์ไทย. กรุงเทพมหานคร : คณะอักษรศาสตร์และสมาคมนิสิตเก่าอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๕ : ๑๑๓, ๑๑๕-๑๑๖, ๑๒๐, ๑๒๔ ๑๓๓, ๑๔๖.
ประยุทธ์ สิทธิพันธ์. สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม
เล่มต้น. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มิตรสยาม, ๒๕๑๖.
_______.
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม เล่มปลาย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มิตรสยาม, ๒๕๑๖.
ประยูร อุลุชาฎะ (น. ณ ปากน้ำ). ศิลปะในกรุงเทพมหานคร ภาคแรก.
กรุงเทพมหานคร : พีระพัธนา, ๒๕๒๑.
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสน์
ฉบับประมวลศัพท์. (กรุงเทพมหานคร : ด่านสุทธาการพิมพ์, ๒๕๓๑.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). จาริกบุญจาริกธรรม. กรุงเทพมหานคร
: บริษัท สหธรรมมิก, ๒๕๓๙.
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.
“พระนามพระราชโอรสพระราชธิดาในรัชกาลที่ ๔”. ใน
เรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตการพิมพ์,
๒๕๒๗ : ๙.
มานิต ชุมสาย, หม่อมหลวง. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ไทยในต่างประเทศ. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์ตรีณสาร, ๒๕๑๘.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรม อักษร ก, (กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๒๖.
วิลาศวงศ์ พงศะบุตร. “การสืบราชสมบัติ”. ใน ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
เล่ม ๒ รัชกาลที่ ๔-พ.ศ. ๒๔๗๕. กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๘ : ๑๒.
วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร. ประวัติวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร.
พระนคร :
โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๑๑.
ศิลปากร, กรม. โบราณวัตถุสถานสมัยทวารวดีแห่งใหม่.
พระนคร :
กรมศิลปากร, ๒๔๗๘.
_______.
ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม ๒ รัชกาลที่ ๔ – พ.ศ. ๒๔๗๕. กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๕.
_______.
เรื่องพระปฐมเจดีย์. พระนคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิวพร,
๒๕๐๖.
_______. “วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร”. ใน ศิลปวัฒนธรรมไทยเล่ม ๔ วัดสำคัญกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ยูไนเต็ดโปรดัคชั่น,
๒๕๒๕ : ๒๗.
_______.
“วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร”. ใน ศิลปวัฒนธรรมไทยเล่ม ๔ วัดสำคัญกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ยูไนเต็ดโปรดัคชั่น,
๒๕๒๕ : ๓๓.
_______. “วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร”. ใน ศิลปวัฒนธรรมไทยเล่ม
๔ วัดสำคัญกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์ยูไนเต็ดโปรดัคชั่น, ๒๕๒๕ : ๖.
_______.
“วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร”. ใน ศิลปวัฒนธรรมไทยเล่ม
๔ วัดสำคัญกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์ยูไนเต็ดโปรดัคชั่น, ๒๕๒๕ : ๕๔.
_______.
“วัดโสมนัสวิหารราชวรวิหาร”. ใน ศิลปวัฒนธรรมไทยเล่ม ๔ วัดสำคัญกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ยูไนเต็ดโปรดัคชั่น,
๒๕๒๕ : ๖๑.
ส. พลายน้อย. “สังฆราชปาเลอกัว”. ชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ไทย.
กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตการพิมพ์, ๒๕๒๓.
ส. ธรรมยศ. พระเจ้ากรุงสยาม. พิมพ์ครั้งที่ ๒.
สหรัฐอเมริกา
: ศูนย์ความรู้ไทย-อเมริกา, ๒๕๒๒.
สมคิด จิระทัศนกุล. รูปแบบพระอุโบสถและพระวิหารในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.
กรุงเทพมหานคร :
สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๔๗.
ดำรงราชานุภาพ, กรมพระยา, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ. ความทรงจำของสมเด็จฯ
กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ. กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ปจำกัด,
๒๕๓๐.
_______. ประชุมพระนิพนธ์เกี่ยวกับตำนานทางพระพุทธศาสนา.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, ๒๕๑๔.
_______. มูลเหตุแห่งการสร้างวัดในประเทศสยาม.พระนคร :
โรงพิมพ์โสภณพิพรรฆธนากร, ๒๔๗๑.
นริศรานุวัดติวงศ์, กรมพระยา, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. สาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๔, ๑๖,
๑๘. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๒๖.
พระญาณสังวร (สุวฑฺฒโน), สมเด็
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น